วิตามินดี3 วิตามินเค2, Mega D-3 MK-7

วิตามินเค2, Vitamin K2 MK-7 ขนาดบรรจุ: 60 แคปซูล(Veg)

 

ขนาดรับประทาน: วันละ 1 แคปซูล, พร้อมอาหาร

 

ผลิตโดยบริษัท Now Foods, สหรัฐเมริกา

 

หมดอายุ : 04/2022

 

ส่วนประกอบสำคัญต่อใน 1 แคปซูล ประกอบด้วย

 

วิตามินดี3, Vitamin D-3

(as Cholecalciferol) (from Lanolin) 125 ไมโครกรัม (5,000 IU)

วิตามินเค2, Vitamin K-2

(as Menaquinone-7) (MK-7) (MenaQ7®) 180 ไมโครกรัม

 

 

วิตามินเค ซึ่งเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน วิตามินเคมีส่วนสำคัญในการควบคุมการสังเคราะห์โปรตีนในร่างกายของมนุษย์ที่ไปทำหน้าที่ในการควบคุมการแข็งตัวของเลือดการเคลื่อนย้ายแร่ธาตุแคลเซียมในกระดูก ควบคุมระดับแคลเซียมที่อยู่ในหลอดเลือดและกระดูกอ่อน วิตามินเคไม่สะสมในร่างกายเหมือนวิตามินที่ละลายในไขมันอื่นๆ ดังนั้น ร่างกายจึงต้องได้รับวิตามินเคทุกวัน

 

วิตามินเคจากธรรมชาติ แบ่งออกเป็นชนิด วิตามินเค1 และวิตามินเค2 ในส่วนของวิตามินเค1 จะได้จากผัก เช่นผักใบเขียว น้ำมันถั่วเหลือง เป็นต้น วิตามินเค1 จะเกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือด และในส่วนของวิตามินเค2 (Menaquinone) เป็นวิตามินเค ที่ได้จากเนื้อสัตว์ ไข่แดง ถั่วเน่าหรือนัตโตะ (ถั่วเหลืองหมักกับเชื้อแบคทีเรีย เป็นอาหารพื้นเมืองของประเทศญี่ปุ่น) พบว่าคนที่ทานวิตามินเค2 มากกว่า จะมีแคลเซี่ยมเกาะที่เส้นเลือดแดงใหญ่ที่ออกจากหัวใจน้อยกว่า นอกจากนี้ ยังมีการพบว่า วิตามินเค2 มีส่วนช่วยในการยับยั้งมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งตับ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นต้น

 

วิตามินเค2 หรือ MK-7 ได้จากถั่วเหลืองหมักแบบญี่ปุ่น โดยใช้จุลินทรีย์นัตโต๊ะ (Bacillus subtilis natto) ช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ดีกว่าวิตามินเค1 ที่ได้จากผักใบเขียวถึง 10 เท่า ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก ป้องกันและรักษาโรคกระดูกพรุน

 

วิตามินเค มีบทบาทสำคัญในการสร้างมวลกระดูกและฟัน ช่วยลดการสลายของมวลกระดูก และเนื้อฟัน โดยจะนำพาแคลเซียมเข้าสู่กระดูกและฟัน ช่วยป้องกันไม่ให้แคลเซียมถูกนำพาไปในที่ที่ไม่ควรจะเป็น เช่น หลอดเลือด หรืออวัยวะอื่นๆ ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายขึ้นได้ เช่น หากมีแคลเซียมเกาะในหลอดเลือดมาก อาจก่อให้เกิดหินปูนเกาะหลอดเลือดแดง และเกิดการสะสมของแคลเซียมมากเกินไปในหลอดเลือดแดง นานวันเข้าจะเสี่ยงเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดแข็ง ดังนั้น คนบริโภคแคลเซียมจึงควรรับประทานวิตามินเค ร่วมด้วย

 

บทบาทสำคัญของวิตามินเค

 

มีบทบาทในการผลักแคลเซียมเข้าสู่กระดูกและฟัน ช่วยดูดซึมแคลเซียม

เพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก ลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) และโรคกระดูกบาง (Osteopenia)

กระตุ้นให้เกิดการสร้างใหม่ของกระดูก (osteoblastic) และยับยั้งการสลายของกระดูก (osteoclassic)

ลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดแข็ง

ช่วยให้เลือดแข็งตัวเมื่อมีบาดแผล

ปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระ

ลดความเสี่ยงของการเกิดกระดูกหักและโรคกระดูกพรุนในสตรีวัยหมดประจำเดือน

ลดไขมันคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด

ป้องกันการเกาะตัวของหินปูนที่ผนังหลอดเลือดแดงและเนื้อเยื่อต่างๆ

 

 

ประโยชน์ของวิตามินดี3

 

วิตามินดีช่วยในการกระตุ้นดูดซึมแคลเซียม และฟอสฟอรัส มีความสำคัญในการสร้างกระดูกและฟัน และการเจริญเติบโตตามปกติของเด็ก ช่วยในการเก็บสำรองแร่ธาตุไว้ในกระดูกและฟัน

ช่วยในป้องกันโรคเยื่อบุตาอักเสบ ลดการอักเสบของเยื่อบุตา

ช่วยควบคุมระดับแคลเซียมในเลือด ลดการขับแคลเซียมออกจากร่างกาย

ควบคุมความดัน

ป้องกันการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งลำไส้

วิตามินดีมีผลต่อการดูดซึมกลับของกรดอะมิโนที่ไต ถ้าขาดวิตามินดี กรดอะมิโน ในปัสสาวะจะเพิ่มขึ้น ถ้าวิตามินดีเพียงพออัตราการดูดซึมกลับกรดอะมิโนจะปกติ และในปัสสาวะจะลดปริมาณลง

ช่วยสังเคราะห์น้ำย่อยใน mucous membrane ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายแบบ active transport ของแคลเซียมให้ข้ามเซลล์ไปได้ง่าย

ควบคุมปริมาณของแคลเซียม และฟอสฟอรัสในกระแสโลหิตไม่ให้ต่ำลงจนถึงขีดอันตราย เช่น แคลเซียมจะต้องอยู่ในเลือดประมาณ 7 มิลลิกรัม/เดซิลิตร โดย วิตามินดี จะกระตุ้นการดูดแคลเซียมในลำไส้ เพราะมิฉะนั้นแคลเซียมจะถูกขับออกจากร่างกายไปหมด และวิตามินดี จะกระตุ้นการนำเอาฟอสฟอรัส มาใช้โดยทำหน้าที่กระตุ้นตลอดเวลา

เกี่ยวข้องกับการใช้ฟอสฟอรัสในร่างกาย

ช่วยสังเคราะห์ Mucopolysaccharide ซึ่งเป็นสารที่จำเป็นในการสร้างคอลลาเจน

เกี่ยวข้องกับการใช้คาร์โบไฮเดรต

เกี่ยวข้องกับการใช้เกลือซิเตรทในร่างกาย

หน้าที่โดยทางอ้อมก็คือ วิตามินดีจำเป็นในการทำงานของระบบประสาท การเต้นของหัวใจ การแข็งตัวของเลือด เพราะหน้าที่เหล่านี้ จะสัมพันธ์กับการมีอยู่ และการใช้แคลเซียมและฟอสฟอรัส ของร่างกาย

ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน

 

 

ข้อควรระวัง

 

ผู้ที่ใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น warfarin (coumadin) ไม่ควรใช้ หรือปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน

ขณะตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร หรืออายุต่ำกว่า 18 ปี ไม่ควรรับประทาน หรือปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน